วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
แนวคิดเทคนิคการเรียนการสอน
แนวคิดเทคนิคการเรียนการสอน
หลัก 3 ประการของการเรียนการสอนแบบออนไลน์
(Key of Online Learning)
บทความนี้จะกล่าวถึง หลัก 3 ประการในการเตรียมความพร้อมของผู้สอนในการเตรียมตัวสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบหลักดังกล่าวนี้ เป็นส่วนที่สำคัญสำหรับผู้สอนในการนำมาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online Learning) โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในขณะนี้คือ ห้องเรียน DLIT, Google Apps for education, Office 365 ผู้สอนควรมีหลัก 3 ประการดังนี้
1. การเตรียมการเชิงรุก (Proactive)
1.1 ความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร (Know your course) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานมาจากผู้เรียนที่ท่านได้ทำการสอนมาแล้ว เช่น ปัญหาในการสอน ปัญหาในการเรียน ข้อคำถาม ข้อเสนอแนะต่างๆ ในชั้นเรียนของท่าน เพื่อนำมาใช้เป็นหลักสูตรในการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป
1.2 ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน (Seek information about your students) การค้นหา เก็บข้อมูลของผู้เรียน ทั้งในแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการะบวนการจัดการเรียนการสอน แบบออนไลน์ ท่านควรจะต้องรู้ว่า ผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนไหม สามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสะดวกมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการสอนของท่าน ว่าผู้เรียนรู้สึกอย่างไรในการเรียน ผู้เรียนพูดคุย กันในเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับวิธีการสอนและหลักสูตรออนไลน์ของท่าน เพื่อที่จะได้นำมาใช้ช่วยเหลือ หรือเพิ่มเติมให้ผู้เรียนในครั้งต่อไป
1.3 ความรู้สึกดีในครั้งแรก (Good sense) ผู้สอนควรสร้างความรู้สึกที่ดีในครั้งแรกที่เข้าเรียนในหลักสูตร เช่น กล่าวคำตอนรับในหน้าแรก หรือการสร้างความประทับใจด้วยข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน เช่น ชื่อเล่น วันเกิด หรือสิ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบ
1.4 โพสต์ประกาศสม่ำเสมอ (Post regular announcements) ผู้สอนควรโพสต์ประกาศแจ้งข้อมูล
ข่าวสาร หรือความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เรียน ร่วมไปถึงวันที่จะครบกำหนดของกิจกรรมต่างๆ ที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียน เพื่อที่ผู้เรียนจะได้ทราบกำหนดการต่างๆ ในการจัดการภาระงานตามที่ได้รับมอบหมาย และส่งงานได้ทันตามกำหนดเวลา
1.5 มีการติดต่อสื่อสารอย่างชัดเจนกับนักเรียนที่ขาดหายไป (Communicate clearly with students on missing) ผู้สอนควรมีการออกแบบระบบการติดตามผู้เรียนที่ขาดหายไปจากระบบการเรียนการสอนออนไลน์ โดยอาจมีการประสานกับผู้เรียนโดยตรง หรือผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วยวิธีการส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าเรียนด้วยกระบวนการกลุ่มย่อยร่วมกับเพื่อในชั้นเรียน หรือสอบถามและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน เพื่อลดข้อผิดพลาดในการเข้าเรียน หรือทำกิจกรรมในห้องเรียนออนไลน์ครั้งต่อไป
2.ความเป็นมืออาชีพ (Professional)
2.1 การตอบสนองตลอดเวลา (Timely responses are expected) ผู้สอนควรมีการปฏิสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลากับผู้เรียน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อคำถาม ข้อสงสัย หรือการสอบถาม แจ้งปัญหาการใช้งานต่างๆ ในขณะที่ผู้เรียน กำลังเรียนอยู่ หากผู้เรียนได้รับการตอบสนองในทันที หรืออย่างช้าไม่ควรเกิด 1 วัน การปฏิสัมพันธ์อย่างรวดเร็วจะส่งผลให้เกิดผลดีต่อความรู้สึกของผู้เรียน ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ ในชั้นเรียนออนไลน์ให้ประสบผลสำเร็จ
2.2 กำหนดเวลาในการทำงาน (Office Hours) ผู้สอนควรกำหนดเวลานัดหมายในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือผู้เรียนกับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาในการทำงานหรือกิจกรรมร่วมกันผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น skype, Line, FaceTime
2.3 การโพสต์ และการมอบหมายภารกิจที่ชัดเจน (Create a standard of quality assignments and postings) ผ่านรูปแบบการสื่อสารออนไลน์ที่มีความเหมาะสม มีความถูกต้องสอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียนในการรับข้อมูลข่าวสารจากการการโพสต์ และการมอบหมายภารกิจ ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถรู้และเข้าได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องตีความ การโพสต์และการมอบหมายภารกิจที่ดี มีคุณภาพจะทำให้กิจกรรม หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จตามเป้าหมายที่ผู้สอนได้วางไว้
2.4 ใช้ภาษาในการสื่อสารอย่างมืออาชีพ (Use professional language) ผู้สอนควรใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้เรียนด้วยความรอบคอบและครอบคุมทุกประเด็นของกิจกรรมอย่างมืออาชีพ ควรงดการใช้ภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ทำให้สื่อความหมายไม่ชัดเจน ไม่ตรงกับสิ่งที่จะสื่อออกไป ส่งผลให้ผู้เรียนสับสนหรือต้องตีความหมายจากภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ส่งผลให้ภารกิจหรือกิจกรรมอาจล้มเหลว หรือได้ผลงานที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของภารกิจ ดังนั้นการใช้ภาษาในการสื่อสารที่ดีควรกระชับได้ใจความ ตรงประเด็นไม่สั้น ไม่ยาวจนเกินไป
3. สร้างความน่าสนใจ (Personable)
3.1 ในการตอบคำถามหรือข้อสงสัยของผู้เรียน ผู้สอนควรเลือกใช้คำตอบที่สร้างสรรค์ ส่งเสริมกำลังใจและความรู้สึกที่ดีให้กับผู้เรียน โดยเพิ่มเติมข้อเสนอแนะในการให้คำตอบกับผู้เรียน
3.2 ผู้สอนควรตั้งคำถามจากมุมมองของผู้สอน เพื่อสื่อสารแนวทางใหม่ ประเด็นใหม่ หรือชี้นำให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด หรือข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การค้นหาความรู้ใหม่ของผู้เรียน
3.3 การให้ผลตอบกลับ ไม่ว่าจะเป็นการติ หรือการชมจากผู้สอน ควรให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้สอนต้องรู้และเข้าใจถึงระดับในการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นในการให้ผลย้อนกลับไปถึงผู้เรียน ผู้สอนควรมีข้อเสนอแนะที่มีความแตกต่างกันจากผลการทำงานของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่มผู้เรียน โดยอาจให้ผลตอบกลับเป็นการส่วนตัวกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้และเข้าใจในกิจกรรม หรือภารกิจที่แตกต่างกันมากยิ่งขึ้น
3.4 ควรมีการแนะนำแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจนำไปสู่ความลึกซึ้งของเนื้อหามากยิ่งขึ้นจากกิจกรรมในระหว่างการจักการเรียนการสอน
สรุป
ในการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะแบบออนไลน์(Online) ผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ที่มีความแตกต่างกันของผู้เรียน โดยผู้สอนต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนบนสภาพแวดล้อมแบบออนไลน์ (Online Learning Environment) สำหรับใช้ในการโน้มน้าวให้ผู้เรียนมีความสนุก มีความสนใจอยากเข้ามาเรียนรู้ หรือทำกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแนวทางดังกล่าวเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ผู้สอนได้รู้ เข้าใจ และให้ความสำคัญกับการให้กำลังใจผู้เรียน เพื่อให้การนำการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) มาใช้เกิดประโยชน์และได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้สอน
ที่มา
Karen Barnstable. (2012). Three “P”s of Online Instruction (Online) https://kbarnstable.wordpress.com/2012/09/05/three-ps-of-online-instruction/ สืบค้นเมื่อ 30 ก.ย. 2558
(Key of Online Learning)
บทความนี้จะกล่าวถึง หลัก 3 ประการในการเตรียมความพร้อมของผู้สอนในการเตรียมตัวสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบหลักดังกล่าวนี้ เป็นส่วนที่สำคัญสำหรับผู้สอนในการนำมาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online Learning) โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในขณะนี้คือ ห้องเรียน DLIT, Google Apps for education, Office 365 ผู้สอนควรมีหลัก 3 ประการดังนี้
1. การเตรียมการเชิงรุก (Proactive)
1.1 ความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร (Know your course) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานมาจากผู้เรียนที่ท่านได้ทำการสอนมาแล้ว เช่น ปัญหาในการสอน ปัญหาในการเรียน ข้อคำถาม ข้อเสนอแนะต่างๆ ในชั้นเรียนของท่าน เพื่อนำมาใช้เป็นหลักสูตรในการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป
1.2 ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน (Seek information about your students) การค้นหา เก็บข้อมูลของผู้เรียน ทั้งในแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการะบวนการจัดการเรียนการสอน แบบออนไลน์ ท่านควรจะต้องรู้ว่า ผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนไหม สามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสะดวกมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการสอนของท่าน ว่าผู้เรียนรู้สึกอย่างไรในการเรียน ผู้เรียนพูดคุย กันในเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับวิธีการสอนและหลักสูตรออนไลน์ของท่าน เพื่อที่จะได้นำมาใช้ช่วยเหลือ หรือเพิ่มเติมให้ผู้เรียนในครั้งต่อไป
1.3 ความรู้สึกดีในครั้งแรก (Good sense) ผู้สอนควรสร้างความรู้สึกที่ดีในครั้งแรกที่เข้าเรียนในหลักสูตร เช่น กล่าวคำตอนรับในหน้าแรก หรือการสร้างความประทับใจด้วยข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน เช่น ชื่อเล่น วันเกิด หรือสิ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบ
1.4 โพสต์ประกาศสม่ำเสมอ (Post regular announcements) ผู้สอนควรโพสต์ประกาศแจ้งข้อมูล
ข่าวสาร หรือความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เรียน ร่วมไปถึงวันที่จะครบกำหนดของกิจกรรมต่างๆ ที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียน เพื่อที่ผู้เรียนจะได้ทราบกำหนดการต่างๆ ในการจัดการภาระงานตามที่ได้รับมอบหมาย และส่งงานได้ทันตามกำหนดเวลา
1.5 มีการติดต่อสื่อสารอย่างชัดเจนกับนักเรียนที่ขาดหายไป (Communicate clearly with students on missing) ผู้สอนควรมีการออกแบบระบบการติดตามผู้เรียนที่ขาดหายไปจากระบบการเรียนการสอนออนไลน์ โดยอาจมีการประสานกับผู้เรียนโดยตรง หรือผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วยวิธีการส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าเรียนด้วยกระบวนการกลุ่มย่อยร่วมกับเพื่อในชั้นเรียน หรือสอบถามและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน เพื่อลดข้อผิดพลาดในการเข้าเรียน หรือทำกิจกรรมในห้องเรียนออนไลน์ครั้งต่อไป
2.ความเป็นมืออาชีพ (Professional)
2.1 การตอบสนองตลอดเวลา (Timely responses are expected) ผู้สอนควรมีการปฏิสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลากับผู้เรียน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อคำถาม ข้อสงสัย หรือการสอบถาม แจ้งปัญหาการใช้งานต่างๆ ในขณะที่ผู้เรียน กำลังเรียนอยู่ หากผู้เรียนได้รับการตอบสนองในทันที หรืออย่างช้าไม่ควรเกิด 1 วัน การปฏิสัมพันธ์อย่างรวดเร็วจะส่งผลให้เกิดผลดีต่อความรู้สึกของผู้เรียน ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ ในชั้นเรียนออนไลน์ให้ประสบผลสำเร็จ
2.2 กำหนดเวลาในการทำงาน (Office Hours) ผู้สอนควรกำหนดเวลานัดหมายในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือผู้เรียนกับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาในการทำงานหรือกิจกรรมร่วมกันผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น skype, Line, FaceTime
2.3 การโพสต์ และการมอบหมายภารกิจที่ชัดเจน (Create a standard of quality assignments and postings) ผ่านรูปแบบการสื่อสารออนไลน์ที่มีความเหมาะสม มีความถูกต้องสอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียนในการรับข้อมูลข่าวสารจากการการโพสต์ และการมอบหมายภารกิจ ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถรู้และเข้าได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องตีความ การโพสต์และการมอบหมายภารกิจที่ดี มีคุณภาพจะทำให้กิจกรรม หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จตามเป้าหมายที่ผู้สอนได้วางไว้
2.4 ใช้ภาษาในการสื่อสารอย่างมืออาชีพ (Use professional language) ผู้สอนควรใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้เรียนด้วยความรอบคอบและครอบคุมทุกประเด็นของกิจกรรมอย่างมืออาชีพ ควรงดการใช้ภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ทำให้สื่อความหมายไม่ชัดเจน ไม่ตรงกับสิ่งที่จะสื่อออกไป ส่งผลให้ผู้เรียนสับสนหรือต้องตีความหมายจากภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ส่งผลให้ภารกิจหรือกิจกรรมอาจล้มเหลว หรือได้ผลงานที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของภารกิจ ดังนั้นการใช้ภาษาในการสื่อสารที่ดีควรกระชับได้ใจความ ตรงประเด็นไม่สั้น ไม่ยาวจนเกินไป
3. สร้างความน่าสนใจ (Personable)
3.1 ในการตอบคำถามหรือข้อสงสัยของผู้เรียน ผู้สอนควรเลือกใช้คำตอบที่สร้างสรรค์ ส่งเสริมกำลังใจและความรู้สึกที่ดีให้กับผู้เรียน โดยเพิ่มเติมข้อเสนอแนะในการให้คำตอบกับผู้เรียน
3.2 ผู้สอนควรตั้งคำถามจากมุมมองของผู้สอน เพื่อสื่อสารแนวทางใหม่ ประเด็นใหม่ หรือชี้นำให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด หรือข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การค้นหาความรู้ใหม่ของผู้เรียน
3.3 การให้ผลตอบกลับ ไม่ว่าจะเป็นการติ หรือการชมจากผู้สอน ควรให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้สอนต้องรู้และเข้าใจถึงระดับในการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นในการให้ผลย้อนกลับไปถึงผู้เรียน ผู้สอนควรมีข้อเสนอแนะที่มีความแตกต่างกันจากผลการทำงานของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่มผู้เรียน โดยอาจให้ผลตอบกลับเป็นการส่วนตัวกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้และเข้าใจในกิจกรรม หรือภารกิจที่แตกต่างกันมากยิ่งขึ้น
3.4 ควรมีการแนะนำแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจนำไปสู่ความลึกซึ้งของเนื้อหามากยิ่งขึ้นจากกิจกรรมในระหว่างการจักการเรียนการสอน
สรุป
ในการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะแบบออนไลน์(Online) ผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ที่มีความแตกต่างกันของผู้เรียน โดยผู้สอนต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนบนสภาพแวดล้อมแบบออนไลน์ (Online Learning Environment) สำหรับใช้ในการโน้มน้าวให้ผู้เรียนมีความสนุก มีความสนใจอยากเข้ามาเรียนรู้ หรือทำกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแนวทางดังกล่าวเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ผู้สอนได้รู้ เข้าใจ และให้ความสำคัญกับการให้กำลังใจผู้เรียน เพื่อให้การนำการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) มาใช้เกิดประโยชน์และได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้สอน
ที่มา
Karen Barnstable. (2012). Three “P”s of Online Instruction (Online) https://kbarnstable.wordpress.com/2012/09/05/three-ps-of-online-instruction/ สืบค้นเมื่อ 30 ก.ย. 2558
ความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21
- ผลผลิตของครู คือ “ศักยภาพที่สูงขึ้นของผู้เรียน” ไม่เหมือกับผลผลิตของเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่เป็น “วัตถุสิ่งของ”
- แต่ผลผลิตของคุณครูและโรงเรียน เป็นคน “ที่มีจิตวิญญาณ และ แนวความคิด”..ซึงจิตวิญญาณและแนวความคิดนี้ เกิดจากการหล่อหลอมของสังคม อย่างที่เรียกว่า Social Negotiation
- และสังคมของคุณครูในวันนี้ “ได้สูญเสียเอกลักษณ์ไทย Thai Identity” คือ “ความเป็นพี่น้อง Affinity ขาดหายไป”.. . “ความกลมเกลียวกัน Love harmony ขาดหายไป”
- สิ่งเหล่านี้เป็นผลทำให้โรงเรียน “ขาดเอกภาพ Lack of Unity” อันเป็นต้นตอของความล้มเหลวทั้งมวลของการบริการจัดการในโรงเรียน..
- และกล้ารับรองได้เลยว่า “การใช้พระเดช คืออำนาจการบริหาร หรือ Executive powers”กับคุณครูเพียงอย่างเดียวนั้น คือ “ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง หรือ Failure entirely”...
- ในการปฏิรูปการเรียนการสอน เพื่อการศึกษาของศตวรรษที่ 21.จึงต้อง
- เปลียนแนวคิดของผู้บริหารสถาน ศึกษาเป็นเรื่องแรก Change the concept of school administrators first.
- เปลี่ยนการสอนของครู Change Teaching Approach
- และ เปลี่ยนวิธีเรียนของนักเรียน Change the way of Learning
- นี้เรียกว่า “การปรับปรุงสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ ก่อนการเปลี่ยนแปลง"
- ผู้อำนวยการโรงเรียน “ควรต้องทำ Should be” หากต้องการความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21.
- 1. An effective school leader leads by example ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็น “ผู้นำทำก่อน” ทำตัวให้เป็นตัวอย่าง leads by example เช่น ความพยายามทุกทางในการยกระดับการเรียนรู้ มีน้ำใจเอื้ออาทรดูแลทุกข์สุขของบุคลากรและนักเรียนทุกคนด้วยหลักเมตตาธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่มีในตำรา แต่มันเป็น “ทักษะชีวิต Life Skill” ของมนุษย์ เห็นความคิดต่างเป็นอุปกรณ์สร้างปัญญา เป็นนักสมานสามัคคี เป็นนักกิจกรรมการเรียนรู้..เป็นบุคคลตัวอย่างแห่งการเรียนรู้..เป็นพี่เป็นน้องตามควรแก่ฐานะและความเหมาะสม ฯ.
- 2. An effective school leader has a shared vision ผู้นำสถานศึกษา “ต้องเป็นนักแชร์วิสัยทัศน์ shared vision” นี้เป็นหลักการสำคัญ เปรียบว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” และ “เป้าหมายที่เราต้องร่วมรบให้ชนะ We Need to win the battle” คือ อุปสรรคที่ขัดขวางความเจริญงอกงามทางการศึกษาและการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน นั่นเอง
- 3. An effective school leader is well respected ผู้บริหารสถานศึกษา “ต้องใช้ประสิทธิภาพการบริหารการศึกษาของตน”สร้างการ “ยอมรับ Well Respected” ไม่ใช่ “อำนาจการบริหาร”
- 4. An effective school leader is a problem solver ผู้บริหารสถานศึกษา “ต้องเป็นนักแก้ปัญหา problem solver”ร่วมกับคณะครู “มิใช่นักสั่งการแก้ไข Not a Fixed Order เพราะรากเง้าของปัญหาจะยังคงอยู่ และสร้างปัญหาอีกต่อไปไม่จบสิ้น”
- 5. An effective school leader is selfless ผู้นำสถานศึกษา “ต้องไม่เห็นแก่ตัว Selfless”
- 6. An effective school leader is an exceptional listener ผู้นำสถานศึกษา “ต้องเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยม exceptional listener”และสามารถแสดง “วิสัยทัศน์ Point of View”ของตนอย่างแจ่มชัด
- 7. An effective school leader adapts ผู้บริหารสถานศึกษาต้องสามารถ “ปรับตัว”ให้เขากับสถานการณ์ และสิ่งแวดลอม ได้อย่างเหมาะสมและมีความสุข
- 8. An effective school leader understands individual strengths and weaknesses. ผู้บริหารสถานศึกษา “ต้องเข้าใจ จุดอ่อน และจุดแข็ง Strengths and Weaknesses”ของทั้งตนเองและผู้อื่น เพื่อ “ใช้คน ให้เหมาะกับงาน Put the Right Man on the Right Job.”
- 9. An effective school leader makes those around them better ผู้บริหารสถานศึกษาที่ดีต้อง “พยายามทำให้คนรอบข้างมีแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน”
- 10. An effective school leader admits when they make a mistake ผู้บริหารสถานศึกษาที่ดี “ต้องยอมรับสภาพความผิดในฐานะหัวหน้างาน” เมื่อผู้ให้บังคับบัญชาทำผิด
- 11. An effective school leader holds others accountable ผู้นำสถานศึกษาที่ดี “ต้องร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้มอบหมายให้ผู้อื่นทำ Holds Others Accountable”
- 12. An effective school leader makes difficult decisions ผู้นำสถานศึกษา “เป็นผู้ตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากลำบาก makes difficult decisions”ภายใต้หลักการ “ ระดมความคิด หรือ Brainstorming กับผู้ร่วมงานอย่างเหมาะสมและจริงใจ
ขอบคุณข้อมูล สุทัศน์ เอกา...........................บอกความ
แนวคิดเทคนิคการเรียนการสอน
แนวคิดเทคนิคการเรียนการสอน
หลัก 3 ประการของการเรียนการสอนแบบออนไลน์
(Key of Online Learning)
บทความนี้จะกล่าวถึง หลัก 3 ประการในการเตรียมความพร้อมของผู้สอนในการเตรียมตัวสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบหลักดังกล่าวนี้ เป็นส่วนที่สำคัญสำหรับผู้สอนในการนำมาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online Learning) โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในขณะนี้คือ ห้องเรียน DLIT, Google Apps for education, Office 365 ผู้สอนควรมีหลัก 3 ประการดังนี้
1. การเตรียมการเชิงรุก (Proactive)
1.1 ความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร (Know your course) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานมาจากผู้เรียนที่ท่านได้ทำการสอนมาแล้ว เช่น ปัญหาในการสอน ปัญหาในการเรียน ข้อคำถาม ข้อเสนอแนะต่างๆ ในชั้นเรียนของท่าน เพื่อนำมาใช้เป็นหลักสูตรในการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป
1.2 ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน (Seek information about your students) การค้นหา เก็บข้อมูลของผู้เรียน ทั้งในแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการะบวนการจัดการเรียนการสอน แบบออนไลน์ ท่านควรจะต้องรู้ว่า ผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนไหม สามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสะดวกมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการสอนของท่าน ว่าผู้เรียนรู้สึกอย่างไรในการเรียน ผู้เรียนพูดคุย กันในเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับวิธีการสอนและหลักสูตรออนไลน์ของท่าน เพื่อที่จะได้นำมาใช้ช่วยเหลือ หรือเพิ่มเติมให้ผู้เรียนในครั้งต่อไป
1.3 ความรู้สึกดีในครั้งแรก (Good sense) ผู้สอนควรสร้างความรู้สึกที่ดีในครั้งแรกที่เข้าเรียนในหลักสูตร เช่น กล่าวคำตอนรับในหน้าแรก หรือการสร้างความประทับใจด้วยข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน เช่น ชื่อเล่น วันเกิด หรือสิ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบ
1.4 โพสต์ประกาศสม่ำเสมอ (Post regular announcements) ผู้สอนควรโพสต์ประกาศแจ้งข้อมูล
ข่าวสาร หรือความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เรียน ร่วมไปถึงวันที่จะครบกำหนดของกิจกรรมต่างๆ ที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียน เพื่อที่ผู้เรียนจะได้ทราบกำหนดการต่างๆ ในการจัดการภาระงานตามที่ได้รับมอบหมาย และส่งงานได้ทันตามกำหนดเวลา
1.5 มีการติดต่อสื่อสารอย่างชัดเจนกับนักเรียนที่ขาดหายไป (Communicate clearly with students on missing) ผู้สอนควรมีการออกแบบระบบการติดตามผู้เรียนที่ขาดหายไปจากระบบการเรียนการสอนออนไลน์ โดยอาจมีการประสานกับผู้เรียนโดยตรง หรือผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วยวิธีการส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าเรียนด้วยกระบวนการกลุ่มย่อยร่วมกับเพื่อในชั้นเรียน หรือสอบถามและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน เพื่อลดข้อผิดพลาดในการเข้าเรียน หรือทำกิจกรรมในห้องเรียนออนไลน์ครั้งต่อไป
2.ความเป็นมืออาชีพ (Professional)
2.1 การตอบสนองตลอดเวลา (Timely responses are expected) ผู้สอนควรมีการปฏิสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลากับผู้เรียน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อคำถาม ข้อสงสัย หรือการสอบถาม แจ้งปัญหาการใช้งานต่างๆ ในขณะที่ผู้เรียน กำลังเรียนอยู่ หากผู้เรียนได้รับการตอบสนองในทันที หรืออย่างช้าไม่ควรเกิด 1 วัน การปฏิสัมพันธ์อย่างรวดเร็วจะส่งผลให้เกิดผลดีต่อความรู้สึกของผู้เรียน ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ ในชั้นเรียนออนไลน์ให้ประสบผลสำเร็จ
2.2 กำหนดเวลาในการทำงาน (Office Hours) ผู้สอนควรกำหนดเวลานัดหมายในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือผู้เรียนกับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาในการทำงานหรือกิจกรรมร่วมกันผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น skype, Line, FaceTime
2.3 การโพสต์ และการมอบหมายภารกิจที่ชัดเจน (Create a standard of quality assignments and postings) ผ่านรูปแบบการสื่อสารออนไลน์ที่มีความเหมาะสม มีความถูกต้องสอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียนในการรับข้อมูลข่าวสารจากการการโพสต์ และการมอบหมายภารกิจ ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถรู้และเข้าได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องตีความ การโพสต์และการมอบหมายภารกิจที่ดี มีคุณภาพจะทำให้กิจกรรม หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จตามเป้าหมายที่ผู้สอนได้วางไว้
2.4 ใช้ภาษาในการสื่อสารอย่างมืออาชีพ (Use professional language) ผู้สอนควรใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้เรียนด้วยความรอบคอบและครอบคุมทุกประเด็นของกิจกรรมอย่างมืออาชีพ ควรงดการใช้ภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ทำให้สื่อความหมายไม่ชัดเจน ไม่ตรงกับสิ่งที่จะสื่อออกไป ส่งผลให้ผู้เรียนสับสนหรือต้องตีความหมายจากภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ส่งผลให้ภารกิจหรือกิจกรรมอาจล้มเหลว หรือได้ผลงานที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของภารกิจ ดังนั้นการใช้ภาษาในการสื่อสารที่ดีควรกระชับได้ใจความ ตรงประเด็นไม่สั้น ไม่ยาวจนเกินไป
3. สร้างความน่าสนใจ (Personable)
3.1 ในการตอบคำถามหรือข้อสงสัยของผู้เรียน ผู้สอนควรเลือกใช้คำตอบที่สร้างสรรค์ ส่งเสริมกำลังใจและความรู้สึกที่ดีให้กับผู้เรียน โดยเพิ่มเติมข้อเสนอแนะในการให้คำตอบกับผู้เรียน
3.2 ผู้สอนควรตั้งคำถามจากมุมมองของผู้สอน เพื่อสื่อสารแนวทางใหม่ ประเด็นใหม่ หรือชี้นำให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด หรือข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การค้นหาความรู้ใหม่ของผู้เรียน
3.3 การให้ผลตอบกลับ ไม่ว่าจะเป็นการติ หรือการชมจากผู้สอน ควรให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้สอนต้องรู้และเข้าใจถึงระดับในการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นในการให้ผลย้อนกลับไปถึงผู้เรียน ผู้สอนควรมีข้อเสนอแนะที่มีความแตกต่างกันจากผลการทำงานของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่มผู้เรียน โดยอาจให้ผลตอบกลับเป็นการส่วนตัวกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้และเข้าใจในกิจกรรม หรือภารกิจที่แตกต่างกันมากยิ่งขึ้น
3.4 ควรมีการแนะนำแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจนำไปสู่ความลึกซึ้งของเนื้อหามากยิ่งขึ้นจากกิจกรรมในระหว่างการจักการเรียนการสอน
สรุป
ในการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะแบบออนไลน์(Online) ผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ที่มีความแตกต่างกันของผู้เรียน โดยผู้สอนต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนบนสภาพแวดล้อมแบบออนไลน์ (Online Learning Environment) สำหรับใช้ในการโน้มน้าวให้ผู้เรียนมีความสนุก มีความสนใจอยากเข้ามาเรียนรู้ หรือทำกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแนวทางดังกล่าวเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ผู้สอนได้รู้ เข้าใจ และให้ความสำคัญกับการให้กำลังใจผู้เรียน เพื่อให้การนำการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) มาใช้เกิดประโยชน์และได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้สอน
ที่มา
Karen Barnstable. (2012). Three “P”s of Online Instruction (Online) https://kbarnstable.wordpress.com/2012/09/05/three-ps-of-online-instruction/ สืบค้นเมื่อ 30 ก.ย. 2558
(Key of Online Learning)
บทความนี้จะกล่าวถึง หลัก 3 ประการในการเตรียมความพร้อมของผู้สอนในการเตรียมตัวสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบหลักดังกล่าวนี้ เป็นส่วนที่สำคัญสำหรับผู้สอนในการนำมาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ (Online Learning) โดยเฉพาะโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในขณะนี้คือ ห้องเรียน DLIT, Google Apps for education, Office 365 ผู้สอนควรมีหลัก 3 ประการดังนี้
1. การเตรียมการเชิงรุก (Proactive)
1.1 ความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร (Know your course) โดยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานมาจากผู้เรียนที่ท่านได้ทำการสอนมาแล้ว เช่น ปัญหาในการสอน ปัญหาในการเรียน ข้อคำถาม ข้อเสนอแนะต่างๆ ในชั้นเรียนของท่าน เพื่อนำมาใช้เป็นหลักสูตรในการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป
1.2 ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน (Seek information about your students) การค้นหา เก็บข้อมูลของผู้เรียน ทั้งในแบบรายบุคคลและรายกลุ่ม มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการะบวนการจัดการเรียนการสอน แบบออนไลน์ ท่านควรจะต้องรู้ว่า ผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนไหม สามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสะดวกมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการสอนของท่าน ว่าผู้เรียนรู้สึกอย่างไรในการเรียน ผู้เรียนพูดคุย กันในเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับวิธีการสอนและหลักสูตรออนไลน์ของท่าน เพื่อที่จะได้นำมาใช้ช่วยเหลือ หรือเพิ่มเติมให้ผู้เรียนในครั้งต่อไป
1.3 ความรู้สึกดีในครั้งแรก (Good sense) ผู้สอนควรสร้างความรู้สึกที่ดีในครั้งแรกที่เข้าเรียนในหลักสูตร เช่น กล่าวคำตอนรับในหน้าแรก หรือการสร้างความประทับใจด้วยข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน เช่น ชื่อเล่น วันเกิด หรือสิ่งที่ผู้เรียนชื่นชอบ
1.4 โพสต์ประกาศสม่ำเสมอ (Post regular announcements) ผู้สอนควรโพสต์ประกาศแจ้งข้อมูล
ข่าวสาร หรือความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เรียน ร่วมไปถึงวันที่จะครบกำหนดของกิจกรรมต่างๆ ที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียน เพื่อที่ผู้เรียนจะได้ทราบกำหนดการต่างๆ ในการจัดการภาระงานตามที่ได้รับมอบหมาย และส่งงานได้ทันตามกำหนดเวลา
1.5 มีการติดต่อสื่อสารอย่างชัดเจนกับนักเรียนที่ขาดหายไป (Communicate clearly with students on missing) ผู้สอนควรมีการออกแบบระบบการติดตามผู้เรียนที่ขาดหายไปจากระบบการเรียนการสอนออนไลน์ โดยอาจมีการประสานกับผู้เรียนโดยตรง หรือผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ด้วยวิธีการส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าเรียนด้วยกระบวนการกลุ่มย่อยร่วมกับเพื่อในชั้นเรียน หรือสอบถามและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน เพื่อลดข้อผิดพลาดในการเข้าเรียน หรือทำกิจกรรมในห้องเรียนออนไลน์ครั้งต่อไป
2.ความเป็นมืออาชีพ (Professional)
2.1 การตอบสนองตลอดเวลา (Timely responses are expected) ผู้สอนควรมีการปฏิสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลากับผู้เรียน โดยเฉพาะเมื่อมีข้อคำถาม ข้อสงสัย หรือการสอบถาม แจ้งปัญหาการใช้งานต่างๆ ในขณะที่ผู้เรียน กำลังเรียนอยู่ หากผู้เรียนได้รับการตอบสนองในทันที หรืออย่างช้าไม่ควรเกิด 1 วัน การปฏิสัมพันธ์อย่างรวดเร็วจะส่งผลให้เกิดผลดีต่อความรู้สึกของผู้เรียน ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ ในชั้นเรียนออนไลน์ให้ประสบผลสำเร็จ
2.2 กำหนดเวลาในการทำงาน (Office Hours) ผู้สอนควรกำหนดเวลานัดหมายในการทำงานร่วมกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือผู้เรียนกับผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาในการทำงานหรือกิจกรรมร่วมกันผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ผ่านทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น skype, Line, FaceTime
2.3 การโพสต์ และการมอบหมายภารกิจที่ชัดเจน (Create a standard of quality assignments and postings) ผ่านรูปแบบการสื่อสารออนไลน์ที่มีความเหมาะสม มีความถูกต้องสอดคล้องกับความพร้อมของผู้เรียนในการรับข้อมูลข่าวสารจากการการโพสต์ และการมอบหมายภารกิจ ส่งผลให้ผู้เรียนสามารถรู้และเข้าได้ในทันทีโดยที่ไม่ต้องตีความ การโพสต์และการมอบหมายภารกิจที่ดี มีคุณภาพจะทำให้กิจกรรม หรือภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จตามเป้าหมายที่ผู้สอนได้วางไว้
2.4 ใช้ภาษาในการสื่อสารอย่างมืออาชีพ (Use professional language) ผู้สอนควรใช้ภาษาในการสื่อสารกับผู้เรียนด้วยความรอบคอบและครอบคุมทุกประเด็นของกิจกรรมอย่างมืออาชีพ ควรงดการใช้ภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ทำให้สื่อความหมายไม่ชัดเจน ไม่ตรงกับสิ่งที่จะสื่อออกไป ส่งผลให้ผู้เรียนสับสนหรือต้องตีความหมายจากภาษาที่ใช้คำย่อและสั้น ส่งผลให้ภารกิจหรือกิจกรรมอาจล้มเหลว หรือได้ผลงานที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของภารกิจ ดังนั้นการใช้ภาษาในการสื่อสารที่ดีควรกระชับได้ใจความ ตรงประเด็นไม่สั้น ไม่ยาวจนเกินไป
3. สร้างความน่าสนใจ (Personable)
3.1 ในการตอบคำถามหรือข้อสงสัยของผู้เรียน ผู้สอนควรเลือกใช้คำตอบที่สร้างสรรค์ ส่งเสริมกำลังใจและความรู้สึกที่ดีให้กับผู้เรียน โดยเพิ่มเติมข้อเสนอแนะในการให้คำตอบกับผู้เรียน
3.2 ผู้สอนควรตั้งคำถามจากมุมมองของผู้สอน เพื่อสื่อสารแนวทางใหม่ ประเด็นใหม่ หรือชี้นำให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด หรือข้อสงสัยเพื่อนำไปสู่การค้นหาความรู้ใหม่ของผู้เรียน
3.3 การให้ผลตอบกลับ ไม่ว่าจะเป็นการติ หรือการชมจากผู้สอน ควรให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้สอนต้องรู้และเข้าใจถึงระดับในการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นในการให้ผลย้อนกลับไปถึงผู้เรียน ผู้สอนควรมีข้อเสนอแนะที่มีความแตกต่างกันจากผลการทำงานของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่มผู้เรียน โดยอาจให้ผลตอบกลับเป็นการส่วนตัวกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้และเข้าใจในกิจกรรม หรือภารกิจที่แตกต่างกันมากยิ่งขึ้น
3.4 ควรมีการแนะนำแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่อาจนำไปสู่ความลึกซึ้งของเนื้อหามากยิ่งขึ้นจากกิจกรรมในระหว่างการจักการเรียนการสอน
สรุป
ในการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยเฉพาะแบบออนไลน์(Online) ผู้สอนควรมีความรู้ความเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ที่มีความแตกต่างกันของผู้เรียน โดยผู้สอนต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนบนสภาพแวดล้อมแบบออนไลน์ (Online Learning Environment) สำหรับใช้ในการโน้มน้าวให้ผู้เรียนมีความสนุก มีความสนใจอยากเข้ามาเรียนรู้ หรือทำกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นแนวทางดังกล่าวเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้ผู้สอนได้รู้ เข้าใจ และให้ความสำคัญกับการให้กำลังใจผู้เรียน เพื่อให้การนำการเรียนรู้แบบออนไลน์ (Online Learning) มาใช้เกิดประโยชน์และได้ผลสัมฤทธิ์ตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้สอน
ที่มา
Karen Barnstable. (2012). Three “P”s of Online Instruction (Online) https://kbarnstable.wordpress.com/2012/09/05/three-ps-of-online-instruction/ สืบค้นเมื่อ 30 ก.ย. 2558
ความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21
- ผลผลิตของครู คือ “ศักยภาพที่สูงขึ้นของผู้เรียน” ไม่เหมือกับผลผลิตของเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่เป็น “วัตถุสิ่งของ”
- แต่ผลผลิตของคุณครูและโรงเรียน เป็นคน “ที่มีจิตวิญญาณ และ แนวความคิด”..ซึงจิตวิญญาณและแนวความคิดนี้ เกิดจากการหล่อหลอมของสังคม อย่างที่เรียกว่า Social Negotiation
- และสังคมของคุณครูในวันนี้ “ได้สูญเสียเอกลักษณ์ไทย Thai Identity” คือ “ความเป็นพี่น้อง Affinity ขาดหายไป”.. . “ความกลมเกลียวกัน Love harmony ขาดหายไป”
- สิ่งเหล่านี้เป็นผลทำให้โรงเรียน “ขาดเอกภาพ Lack of Unity” อันเป็นต้นตอของความล้มเหลวทั้งมวลของการบริการจัดการในโรงเรียน..
- และกล้ารับรองได้เลยว่า “การใช้พระเดช คืออำนาจการบริหาร หรือ Executive powers”กับคุณครูเพียงอย่างเดียวนั้น คือ “ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง หรือ Failure entirely”...
- ในการปฏิรูปการเรียนการสอน เพื่อการศึกษาของศตวรรษที่ 21.จึงต้อง
- เปลียนแนวคิดของผู้บริหารสถาน ศึกษาเป็นเรื่องแรก Change the concept of school administrators first.
- เปลี่ยนการสอนของครู Change Teaching Approach
- และ เปลี่ยนวิธีเรียนของนักเรียน Change the way of Learning
- นี้เรียกว่า “การปรับปรุงสภาพแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ ก่อนการเปลี่ยนแปลง"
- ผู้อำนวยการโรงเรียน “ควรต้องทำ Should be” หากต้องการความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาในศตวรรษที่ 21.
- 1. An effective school leader leads by example ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็น “ผู้นำทำก่อน” ทำตัวให้เป็นตัวอย่าง leads by example เช่น ความพยายามทุกทางในการยกระดับการเรียนรู้ มีน้ำใจเอื้ออาทรดูแลทุกข์สุขของบุคลากรและนักเรียนทุกคนด้วยหลักเมตตาธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่มีในตำรา แต่มันเป็น “ทักษะชีวิต Life Skill” ของมนุษย์ เห็นความคิดต่างเป็นอุปกรณ์สร้างปัญญา เป็นนักสมานสามัคคี เป็นนักกิจกรรมการเรียนรู้..เป็นบุคคลตัวอย่างแห่งการเรียนรู้..เป็นพี่เป็นน้องตามควรแก่ฐานะและความเหมาะสม ฯ.
- 2. An effective school leader has a shared vision ผู้นำสถานศึกษา “ต้องเป็นนักแชร์วิสัยทัศน์ shared vision” นี้เป็นหลักการสำคัญ เปรียบว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” และ “เป้าหมายที่เราต้องร่วมรบให้ชนะ We Need to win the battle” คือ อุปสรรคที่ขัดขวางความเจริญงอกงามทางการศึกษาและการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน นั่นเอง
- 3. An effective school leader is well respected ผู้บริหารสถานศึกษา “ต้องใช้ประสิทธิภาพการบริหารการศึกษาของตน”สร้างการ “ยอมรับ Well Respected” ไม่ใช่ “อำนาจการบริหาร”
- 4. An effective school leader is a problem solver ผู้บริหารสถานศึกษา “ต้องเป็นนักแก้ปัญหา problem solver”ร่วมกับคณะครู “มิใช่นักสั่งการแก้ไข Not a Fixed Order เพราะรากเง้าของปัญหาจะยังคงอยู่ และสร้างปัญหาอีกต่อไปไม่จบสิ้น”
- 5. An effective school leader is selfless ผู้นำสถานศึกษา “ต้องไม่เห็นแก่ตัว Selfless”
- 6. An effective school leader is an exceptional listener ผู้นำสถานศึกษา “ต้องเป็นผู้ฟังที่ยอดเยี่ยม exceptional listener”และสามารถแสดง “วิสัยทัศน์ Point of View”ของตนอย่างแจ่มชัด
- 7. An effective school leader adapts ผู้บริหารสถานศึกษาต้องสามารถ “ปรับตัว”ให้เขากับสถานการณ์ และสิ่งแวดลอม ได้อย่างเหมาะสมและมีความสุข
- 8. An effective school leader understands individual strengths and weaknesses. ผู้บริหารสถานศึกษา “ต้องเข้าใจ จุดอ่อน และจุดแข็ง Strengths and Weaknesses”ของทั้งตนเองและผู้อื่น เพื่อ “ใช้คน ให้เหมาะกับงาน Put the Right Man on the Right Job.”
- 9. An effective school leader makes those around them better ผู้บริหารสถานศึกษาที่ดีต้อง “พยายามทำให้คนรอบข้างมีแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน”
- 10. An effective school leader admits when they make a mistake ผู้บริหารสถานศึกษาที่ดี “ต้องยอมรับสภาพความผิดในฐานะหัวหน้างาน” เมื่อผู้ให้บังคับบัญชาทำผิด
- 11. An effective school leader holds others accountable ผู้นำสถานศึกษาที่ดี “ต้องร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้มอบหมายให้ผู้อื่นทำ Holds Others Accountable”
- 12. An effective school leader makes difficult decisions ผู้นำสถานศึกษา “เป็นผู้ตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากลำบาก makes difficult decisions”ภายใต้หลักการ “ ระดมความคิด หรือ Brainstorming กับผู้ร่วมงานอย่างเหมาะสมและจริงใจ
ขอบคุณข้อมูล สุทัศน์ เอกา...........................บอกความ
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ทักษะและเทคนิคการสอน
ทักษะและเทคนิคการสอน
ความหมาย
ทักษะหมายถึง ความสามารถ ความชำนิชำนาญ และความคล่องแคล่วว่องไว ซึ่งเป็นสิ่งที่บุคคลได้เรียนรู้ที่จะทำด้วยความรวดเร็ว แม่นยำถูกต้อง ซึ่งอาจจะเป็นทางร่างกาย หรือสมอง ในระยะที่รวดเร็ว เช่น ความสามารถในการคิดเลขได้รวดเร็ว การวาดภาพเร็ว
ทักษะเป็นคำที่นำมาจากรากศัพท์ ภาษาสันกฤต และในวิชาการศึกษาได้แปลมาจากคำว่า Skill ซึ่งมีความหมายถึง ความสามารถ ขยันหมั่นเพียร ความคล่องแคล่ว แข็งแรง นอกจากนี้พจนานุกรมไทยได้ให้ความหมายของทักษะไว้ว่าเป็นความชำนาญ และความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเวลารวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพ ในเรื่องนี้ กู๊ด ( Capenter V.good : 1973 ) ได้ให้ความหมายของทักษะไว้ในหนังสือ Dichinary of Eduoalion ความว่า เป็นสิ่งที่บุคคลได้เรียนรู้ที่กระทำด้วยความยาก ง่าย แม่นยำ อาจจะทางด้านร่างกาย สมองก็ได้ หรือ
ทักษะ หมายถึง ความชัดเจน ความกลมกลืนในการใช้นิ้วมือ นิ้วเท้า มือ เท้า และสายตา
สรุป ความหมายของทักษะ หมายถึง ความสามารถ ความชำนาญในการกระทำบางสิ่งบางอย่างได้เป็นอย่างดีด้วยความถูกต้อง แม่นยำ ในระยะเวลาที่รวดเร็ว เช่น ความสามารถในการอ่านเร็ว ทำงานเร็ว เป็นต้น อย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการสอนมีความสำคัญต่อการสอนมาก จากผลการวิจัยของ แอน พินิจด้า ได้ทำความวิจัยเรื่อง ความคิดเห็นของศึกษาวิทยาลัยครู เกี่ยวกับทักษะการสอนในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพกล่าวว่า การฝึกทักษะการสอนเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาวิชาครูได้มีการฝึกทักษะการสอนก่อนออกฝึกจริง เพราะช่วยให้นักศึกษาได้มีความตระหนักถึงการให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน และจะนำประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกทักษะการสอนไปใช้ในการฝึกสอน นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามยังกล่าวถึงในด้านการนำผลการฝึกทักษะการสอนไปใช้ในการปรับปรุงตัวเองมีการเสริมกำลังใจนักเรียน มีการจัดเตรียมสื่อการสอนให้เหมาะสมกับบทเรียนนักศึกษาได้เรียนรู้การเร้าความสนใจ ช่วยทำให้มีการปรับปรุงวิธีการสอนอยู่ตลอดเวลา เพราะลักษณะการสอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งสำหรับประสิทธิภาพในการสอน ทำให้ผู้ฝึกเกิดสมรรถภาพในการสอนเพิ่ม เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ฝึกมีทักษะในการแก้ปัญหาการใช้กระดานดำ การสอนเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสมดุล เป็นต้น
เทคนิคการสอน คือ กลวิธีต่างๆที่ใช้เสริมกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ หรือการกระทำใดๆ เพื่อช่วยให้กระบวนการ ขั้นตอน วิธีการหรือการกระทำนั้นๆ มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น
การแบ่งทักษะการสอนนั้น มีแนวคิดแตกต่างกันหลายแบบ ดีเวท ดับบลิว แอลเลน (Dewight W.Allen)ได้จะแนกออกเป็น18ทักด้วยกันคือ
1.การสร้างสัมพันธ์ 10.การตั้งคำถาม2.การวางขอบข่ายเนื้อหา 11.การใช้คำถามชั้นสุง3.การสรุปผลลับ 12.การใช้คำถามชุด4.การมีพฤติกรรมเอาใจใส่ในตัวผู้เรียน 13.การให้นักเรียนเงียบและการแนะนำโดยไม่ใช้คำพูด5.การหาผลย้อนกลับหรือข้อมูลย้อนกลับ 14.การกระตุ้นให้นักเรียนตั้งคำถามเอง6.การเสริมกำลังใจ 15.การสื่อความหมายที่สมบูรณ์7.การพูดทบทวนและย้ำเตือน 16.การแปรเปลี่ยนตัวกระตุ้น8.การควบคุมการมีส่วนร่วมในการเรียนของนักเรียน 17.การบรรณยาย9.การอธิบายและใช้ตัวอย่าง 18.การบอกให้นักเรียนรู้ตัวว่าต้องตอบคำถาม
ในที่นี้นำเสนอทักษะพื้นฐานที่สำคัญสำหรับผู้สอนทั้งในระดับมัธยมศึกษาและปฐมศึกษา ดังนี้
1.ทักษะการนำเข้าสู่บทเรียน 2.ทักษะการใช้วาจากริยาท่าทางในการสอน3.ทักษะการอธิบาย 4.ทักษะการเร้าความสนใจ5.ทักษะการใช้คำถาม 6.ทักษะการใช้อุปกรณ์การสอน7.ทักษะการใช้กระดานดำ 8.ทักษะเสริมกำลังใจ9.ทักษะการสรุปบทเรียน
ความสำคัญของทักษะการสอน
- การฝึกทักษะการสอนนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้มีอาชีพครู ผู้สอนจึงต้องมีความสามารถในถ่ายทอดความรู้ได้อย่างดีแก่ผู้เรียน ถ้าผู้เรียนไม่เข้าใจโดยเขาไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามผู้สอนตั้งจุดมุ่งหมายไว้
ทักษะการสอนพื้นฐาน
- ทักษะการสอนขั้นพื้นฐานหมายถึงความสามารถ หรือความชำนาญในการสอนซึ่งทักษะจะไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ถ้าไม่ฝึกฝนทักษะการสอนมีหลายทักษะด้วยกันที่ใช้ในแต่ละคาบหรือแต่ละชั่วโมงผู้เป้นครูได้มีการฝึกฝนเพื่อเป็นพื้นฐานในการสอนต่อไป
1.ทักษะการนำเข้าสู่บทเรียน
- การนำเข้าสู่เรื่องที่จะเรียน เป็นขั้นการสอน หรือกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเริ่มต้นทำการสอนเพื่อดึงความสนใจ ให้ผู้เรียนพร้อมที่จะติดตามบทเรียนต่อไป
เทคนิคการนำเข้าสู้บทเรียน
1.ใช้อุปกรณ์การสอนเช่น ของจริง รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ2.ให้นักเรียนลองทำกิจกรรมบางอย่างที่สัมพันธ์กับบทเรียน เช่น การให้ยืนแสดงท่าทางต่าง ๆ การให้นักเรียนลองใส่ RAM ในคอมพิวเตอร์3.ใช้เรื่องเล่านิทาน หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ โยงมาสู่เรื่องที่จะสอน4.ตั้งปัญหา ทายปัญหา เพื่อเร้าความสนใจของนักเรียนให้คิดหาคำตอบ5.สนทนาซักถามถึงเรื่องราวต่างๆเพื่อนำเข้าสู่บทเรียน6.แสดงละครหรือบทบาทสมมูติเพื่อให้ผู้เรียนสนใจ7.แสดงละครหรือบทบาทสมมูติ8.ร้องเพลงซึ่งเป็นเพลงเกี่ยวกับเรื่องที่จะสอน
2.ทักษะการใช้วาจากริยาท่าทางในการสอน
- การใช้วาจากิริยาท่าทาง ในการสอนนับว่าเป็นสิ่งสำคัยอย่างยิ่งของครู เพราะการที่นักเรียนจะเกิดความพอใจและสนใจที่จะเรียนนั้น บุคลิกภาพของครูนั้นจำเป็นอย่างหนึ่งเพราะบุคลิกภาพของครู รวมทั้งความสามารถในการสื่อความหมายระหว่างครูกับนักเรียนจะช่วยให้นักเรียนไม่เบื่อหน่าย
เทคนิคการใช้วาจากิริยา ท่าทางประกอบการสอน
1.การเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนอิริยาบท
- เริ่มแรกที่เข้ามาในห้องเรียนครูควรเดินด้วยท่าทางที่เหมาะสมสง่างามและดูเป็นธรรมชาติ
2.การใช้มือแลแขน
- ใช้มือประกอบท่าทางในการพุด ซึ่งจะเป็นสิ่งดึงดุดใจของนักเรียน เพราะนักเรียนสนใจดูสิ่งเคลื่อนไหวมากกว่าสิ่งที่นิ่ง
3.การแสดงออกทางสีหน้า สายตา
- การแสดงออกทางหน้าตา สายตา เป็นส่วนหนึ่งที่ใช้สื่อความหมายกับผู้เรียน ผู้เรียนจะเข้าใจถึงความรู้สึก หรือเข้าใจในอารมณ์การสอน ในการสอนบทเรียนที่มีความตื่นเต้น สีหน้าของครูต้องคล้อยตามสัมพันธ์กับความรู้สึกดังกล่าวด้วย
4.การทรงตัวและการวางท่าทาง
- ควรวางท่าให้เหมาะสม ไม่ดูตรึงเครียด หรือเกรงเกินไป ควรวางท่าทางและทรงตัวขณะสอนให้ดูเป็นธรรมชาติแต่ก็ไม่ดูปล่อยตามสบายจนเกินไป
5.การใช้น้ำเสียง
- ควรใช้น้ำเสียงที่ชัดเจนเหมาะสม ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป มีการออกเสียงการใช้ถ้อยคำถูกต้อง ไม่แสดงอารมณ์ที่ไม่สมควรออกทางน้ำเสียงเพราะโดยปกติแล้วน้ำเสียงของครูสามารถบอกอารมณ์ได้และความรู้สึกของครูได้อย่างดี ถ้าครูเสียงดีนักเรียนก้จะมีความรู้สึกที่ดีต่อครู
6.การแต่งกาย
- ครูควรแต่งกายให้ถุกต้องเหมาะสมเพราะถ้าครูแต่งกายสวยเดนจนเกินไปทำให้นกเรียนจะให้ความสนใจกับครูมากกว่าบทเรียน ผู้สอนควรแต่งกายให้เรียบร้อย
3.ทักษะการอธิบาย
- ทักษะการอธิบาย หมายถึง ความสามารถในการพูดแสดงรายละเอียดและให้ตัวอย่างให้ผู้เรียนเข้าใจ หายจากข้อสงสัย เกิดความชัดเจนในสิ่งนั้น หรือขยายความในลักษณะที่ช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งอาจกระทำได้โดยการบอก การตีความ การสาธิต การยกตัวอย่าง ฯลฯ บางครั้งเพื่อให้การอธิบายเป็นที่เข้าใจได้ง่าย อาจจะใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการอธิบาย ก็จะช่วยทำให้ผู้ฟังสนใจและเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น
เทคนิคการสอนการอภิปราย
1.เวลาอธิบายไม่นานเกินควร เวลาอภิปรายไม่เกิน10นาทีเพราะเกินเวลานี้ไปผุ้เรียนอาจไม่สนใจเรียน2.ภาษาที่ใชง่ายแก่การเข้าใจ รัดกุมไม่เยิ้นเย้อ น่าฟัง3.สื่อการสอน ควรน่าสนใจช่วยในการอภิปรายได้ง่ายยิ่งขึ้น5.การอภิปรายเริ่มจากเรื่องที่เข้าใจง่ายไปหาเรื่องที่ยาก6.ท่าทางในการอภิปรายน่าสนใจ7.ใช้แนวคิด หรือถ้าเป็นอภิปรายของนักเรียนให้ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาเป็นแนวทางในการอธิบายด้วยความเข้าใจตามแนวคิดของนักเรียน8.มีการสรุปอภิบายด้วย
4.ทักษะการเร้าความสนใจ
การเร้าใจสนใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้การเรียนการสอนนั้นประสบผลดี เพราะจะช่วยให้ครูปรับปรุงวิธีการสอนให้เด็กเกิดสนใจในการเรียนและติดตามกิจกรรมโดยตลอดไม่เบื่อหน่ายดังนั้น พยายามใช้เทคนิคต่าง ๆ มากระตุ้นให้นักเรียนสนใจอยู่ตลอดเวลา
เทคนิคการสอนการเร้าความสนใจ
1.การใช้สีหน้า ท่าทางประกอบการสอน มีการใช้ท่าทางประกอบการสอนจะทำให้ผู้เรียนสนใจเรียนยิ่งขึ้น2.การใช้ถ้อยคำและน้ำเสียง ถ้อยคำที่ครูใช้และน้ำเสียงเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผุ้เรียนสนใจเรียน ไม่มีการเน้นหนักเบาจะทำให้การเรียนนั้นไม่น่าสนใจ3.การเคลื่อนไหวของครูครูควรมีการเคลื่อนไหวในขณะสอน ครูควรเปลี่ยนจากจุดนั่งเป็นจุดยืนของตน เพราะถ้าครูยืนอยู่จุดเดียวทำให้ผู้เรียนไม่มีความกระตือรือร้น และไม่เกิดความสนใจเท่าที่ควร4.การเน้นจุดสำคัญของเรื่อง และการเว้นระยะการพุด หรือการอธิบาย ถ้าครูผุ้สอนต้องการให้ผู้เรียนสนใจ ครูควรมีการฝึกเน้นคำพูดสำเนียง จังหวะ นอกจากนี้แล้วครูหยุดนิ่ง เว้นระยะการพุดตอนใดนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยให้ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมีเวลารวบความคิด เชื่อมโยงความคิดได้
5.ทักษะการใช้คำถาม
- คำถามนับเป็นสิ่งสำคัญในการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในปัจจุบันที่เน้นให้เด็กคิดเป็นซึ่งการที่จะให้บรรลุเป้าหมายจุดประสงค์ดังกล่าวผู้สอนควรมีวิธีการและเทคนิคต่างๆมากมายสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ การใช้คำถาม ซึ่งการใช้คำถามจะมีประสิทธิภาพได้ครูผู้ถามจะต้องเข้าใจถึงจุดประสงค์ในการถาม
เทคนิคการใช้คำถาม
1.ถามด้วยความมั่นใจ ผู้สอนต้องเตรียมคำถามไว้เพื่อให้เกิดความมั่นใจและคล่องตัวในการถาม2.ถามอย่างกลมกลืนคือ กลมกลืนกับเนื้อหา กิจกรรมที่กำลังเรียนอยู่3.ถามโดยใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาให้เหมาะสมในระดับชั้นเรียนผู้เรียนจะได้ดเข้าใจการถาม4.การให้นักเรียนมีโอกาสตอบหลายคนในการสอน ครูควรกระจายคำถามให้ทั่วถึงไม่ใช่ถามแต่ผู้เรียนบางคน5.การเลือกคำถาม บางครั้งครูควรเลือกถามผุ้เรียนบางคนเพื่อจุดประสงค์ของครู เช่นถามผู้เรียนที่เรียนเก่งในกรณีที่ครูต้องการสรุปบทเรียน6.การเสริมกำลังใจ หรือให้ผลย้อนกลับ เมื่อมีผุ้เรียนตอบถูก ครูไม่ควรที่ละเลยที่จะทำให้นักเรียนมีกำลังใจด้วยวิธีการต่างๆ7.ใชคำถามในแต่ละประภท ในการสอนแต่ละครั้งในการสอนแต่ละครั้ง8.การใช้กิริยาท่าทาง เสียงประกอบในการถาม ครูควรเพิ่มบรยากาศความสนใจอยากตอบคำถามของผู้เรียน
6.ทักษะการใช้อุปกรณ์การสอน
- อุปกรณ์การสอน จะช่าวยให้การเรียนรู้มีความหมายมากขึ้น เพราะอุปกรณ์การสอนจะเป็นจุดรวมความสนใจสามารถเพิ่มความเป็นรุปธรรมและความเป็นจริงต่อการเรียนรู้ได้มากขึ้น อุปกรณ์การสอนจะเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดมองเห็นเรื่องราวหรือสิ่งที่เรียนรู้ได้ถูกต้องและสามารถจดจำเรื่องราวได้แม่นยำ
เทคนิคการสอนการใช้อุปกรณ์
1.ใช้อุปกรณ์การสอนอย่างคล่องแคล่วว่องไว2.แสดงอุปกรณ์ให้เห็นชัดทั่วทั้งห้อง3.ควรหาที่ตั้งอุปกรณ์ วางแขวนขนาดใหญ่4.ควรใช้ไม้ยาว และมีปลายแหลมชี้แผนภูมิ แผนที่5.ควรมีการเตรียมผู้เรียนไว้ล่วงหน้าก่อนการใช้อุปกรณ์6.ควรเลือกใช้เครื่องประกอบการใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสม7.พยามยามเปิดดอกาศให้ผุ้เรียนได้ร่วมกิจกรรม หรือได้ศึกษาอุปกรณ์นั้นๆ
7.ทักษะ และเทคนิคการใช้กระดานดำ
1.ครูควรทำความสะอาดกระดานดำทุกครั้งที่เข้าสอน2.ในการเขียนทุกครั้งไม่ควรเขียนทีเดียวทั้งแผ่นควรแบ่งครึ่งแง 3 ส่วน หรือ4 ส่วน3.ในการเขียนกระดาษทุกครั้งควรเขียนจากว้ายมือไปขวามือ4.ถ้ามีหัวข้อเรื่องควรเขียนไว้ตรงกลางกระดานดำในส่วนที่เราแบ่งไว้5.ขณะเขียนยืนห่างกระดานพอประมาณ6.ในการเขียนหนังสือให้เขียนตรงไม่คดเคี้ยว7.ถ้าต้องการอธิบายข้อความบนกระดานดำไม่ควรยืนบัง ควรใช้ไม้ชี้8.ถ้ามีข้อความสำคัญอาจใช้ชอล์กสีเมื่อต้องการเน้นข้อความใดโยเฉพาะ9.ถ้ามีข้อความสำคัญอาจใช้ชอล์กสีขีดเส้นใต้10.เขียนคำตอบของผู้เรียนบนกระดานดำเพื่อเสริมกำลังใจผู้เรียน
8.ทักษะเสริมกำลังใจ
- การเสริมกำลังใจ หมายถึงการให้กำลังใจแก่ผู้เรียน เช่น การใช้คำชมเชย หรื แสดงพฤติกรรมที่ปรารถนาดีแก่ผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีในการเรียนและมีความเชื่อมั่นในตนเอง
เทคนิคเสริมกำลังใจ
1.เมือนักเรียนทำพฤติกรรมได้อย่างถูกต้อง ควรเสริมกำลังใจ โดยใช้ท่าทางและวาจาประกอบกัน2.เสริมกำลังใจย้อนหลัง โดยให้นักเรียนที่ตอบถูกบอกคำตอบของตนอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้เห็นแนวทางที่ตอบไม่ได้ จะได้ทีโอกาสตอบได้ถูกต้อง3.ไม่พุดเกินความจริง ถ้าครูพุดเกินความจริงจะทำให้นักเรียนขาดศรัทธาและเชื่อถือไม่ใช้คำพูดที่จำกัดวงแคบใช้วิธีเสริมกำลังใจให้หลายวิธี4.ไม่ควรเสริมกำลังใจบางประเภทบ่ยเกินไปเพราะจะทำให้ผูเรียนไม่เห็นคุณค่าของการเสริมกำลังใจนั้น5.ใช้วิธีเสริมกำลังใจต่างๆกันและให้โอกาสต่างๆกัน แลให้ทั่วถึงผู้เรียนทุกคน6.การเสิรมกำลังใจทางบวกมากกว่าทางลบจะได้ผลดีกว่า
9.ทักษะการสรุปบทเรียน
- การสรุปบทเรียนเป็นการที่ผู้สอนพยายามให้นักเรียนรวบรวมความคิด ความเข้าใจของตนเองจากการเรียนรู้ที่ผ่านมา ว่าได้สาระสำคัญ หลักเกณฑ์ หลัการ หรือแนวคิดสำคัญในช่วงการสอนนั้นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อนักเรียนจะได้รับประเด็นสำคัญของบทเรียนได้ถูกต้องว่ามีอะไรบ้าง และจะนำความรู้ใหม่ไปสัมพันธ์กับความรู้เดิมได้อย่างไร
เทคนิคการสรุปบทเรียน
1.สรุปโดยอธิบายสั้นๆ ชัดเจน ทบทวนสาระสำคัญที่เรียนมา2.สรุปโดยอุปกรณ์หรือรูปภาพประกอบ3.สรุปโดยสนทนาซักถาม4.สรุปโดยสร้างสถานการณ์5.สรุปโดยนิทานหรือสุภาษิต6.สรุปโดยการปฎิบัติ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)