เรื่องที่ 3
กฎหมายคุมครองสิทธิของบุคคล
- การที่จะสร้างความสงบเรียบร้อยให้ เกิดขึ้นภายในสังคมและประเทศชาตินั้น จำเป็นจะต้องมีการบัญญัติกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ขึ้นมาบังคับใช้ เพื่อให้เกิดเป็นบรรทัดฐาน ของคนในสังคม
- หากสังคมใดที่พลเมืองไม่ปฏิบัติ ตามกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ สังคมนั้นก็จะขาด ความสงบสุข แต่ถ้าสังคมใดมีพลเมืองที่ดี ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่คนในสังคม กำหนดไว้
- สังคมนั้นก็จะเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งกฎเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดที่จะกล่าวถึงในที่นี้ คือ กฎหมาย
สาระการเรียนรูแกนกลาง
- ความสำคัญและลักษณะของกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล
- ประโยชน์ของการปฏิบัติตนตามกฎหมาย
จุดประสงคการเรียนรู
- 1. อธิบายความสำคัญและลักษณะของกฎหมายคุ้มครองสิทธิ ของบุคคลได้
- 2. บอกถึงประโยชน์ของการปฏิบัติตนตามกฎหมายคุ้มครองสิทธิ ได้
- กฎหมายคุ้มครองสิทธิสวนบุคคลมีความสำคัญตอการ ดำเนินชีวิตอยางไร
- การที่กฎหมายบังคับให้เยาวชนทุกคนต้องเข้ารับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน มีผลดีตอเยาวชนและประเทศชาติอยางไร
1. ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล
- สิทธิ หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูปร่างซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ตั้งแต่กำเนิดหรืออาจกำหนดขึ้นโดย กฎหมาย ซึ่งมนุษย์ก็จะเป็นผู้เลือกใช้สิทธินั้นเอง ไม่มีใครสามารถมาบังคับได้ นอกจากนั้นสิทธิของแต่ละบุคคลต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย โดยจะต้องไม่กระทบต่อ สิทธิของบุคคลอื่น เราสามารถแบ่งขอบเขตสิทธิของบุคคลออกได้เป็นสิทธิของบุคคลขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิในการกิน การนอนและสิทธิที่ได้รับโดยกฎหมายกำหนดให้มี เช่น สิทธิในการมีและใช้ ทรัพย์สิน สิทธิในการร้องทุกข์เมื่อถูกบุคคลอื่นละเมิดสิทธิ เป็นต้น สิทธิที่ได้กล่าวมาข้างต้นทำให้ภาครัฐต้องกำหนดเครื่องมือขึ้นเพื่อเป็นมาตรฐานในการ คุ้มครองสิทธิของบุคคล เรียกว่า “กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล” ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคลเป็นเครื่องมือของรัฐที่กำหนดขึ้น เพื่อเป็นมาตรฐานในการให้ ความคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลโดยกฎหมายและเกิดขึ้นเพื่อทำให้สังคมสงบสุข กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคลมีความสำคัญต่อประชาชน สังคม และการพัฒนาประเทศ ชาติเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพราะประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และ ประเทศชาติรวมทั้งต่อโลก ดังนั้น หากประชาชนเรียนรู้และเข้าใจในกฎหมายคุ้มครองสิทธิของ บุคคลและสามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและ ช่วยให้ประเทศชาติพัฒนาไปได้ก้าวหน้าและยั่งยืน
2. ลักษณะของกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล
- กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคลต้องอาศัยการทำงานที่สัมพันธ์กันของฝายนิติบัญญัติ ฝาย บริหาร และฝายตุลาการ โดยฝายนิติบัญญัติจะต้องทำหน้าที่ร่างกฎหมาย ปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเติม กฎหมายเข้าสู่รัฐสภา เพื่อให้กฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในด้านต่างๆ มีความทันสมัย ตลอดเวลาตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคม
- ฝายบริหารจะต้องทำหน้าที่บังคับใช้ กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคลอย่างจริงจังและเสมอภาคกับประชาชนทุกชนชั้น
- และฝาย ตุลาการต้องทำหน้าที่ตัดสินคดีความอันเกี่ยวกับสิทธิของบุคคลที่ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอย่าง รวดเร็วและบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อแก้ไขปญหาและเยียวยาบุคคลที่ได้รับผลกระทบต่อการละเมิด สิทธิของบุคคล
- ในที่นี้จะขอกล่าวถึงกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในบางประเด็น เพื่อให้เกิดความรู้ความ เข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคลมากยิ่งขึ้น ดังนี้
- 2.1 กฎหมายเกี่ยวกับเด็ก กฎหมายเกี่ยวกับเด็กในประเทศไทย ปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายหลายฉบับ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว พระราช- บัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้กำหนดหลักการพื้นฐานสำหรับ เด็กที่จะต้องได้รับความคุ้มครองไว้รวม 4 ประการ คือ สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการพัฒนาส่งเสริม สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง สิทธิที่จะมีส่วนร่วม และได้กำหนดให้องค์กรต่างๆ ของสังคมที่เกี่ยวกับการควบคุมดูแลเด็ก ปฏิบัติต่อเด็ก ดังนี้
- 1) หน้าที่ของผู้ปกครอง ที่ต้องปฏิบัติต่อเด็ก ดังนี้
- 1. อุปการะเลี้ยงดู อบรม สั่งสอนและพัฒนาเด็กที่อยู่ในการดูแลของตน การอุปการะ เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนและพัฒนา ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง และเหมาะสมกับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น
- 2. คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในการดูแลของตน โดยไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง อันตรายต่อสภาพร่างกายและจิตใจ
- 3. ไม่ทอดทิ้งเด็ก ผู้ปกครองจะต้องไม่ทอดทิ้งเด็กไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพยาบาล สถานที่สาธารณะ หรือสถานที่ใดๆ โดยเจตนาที่จะไม่รับเด็กกลับคืน
- 4. ไม่จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งที่จำเป็นแก่การดำรงชีิวิตกับเด็ก เช่น ด้านสุขภาพ อนามัย ปจจัยสี่ เป็นต้น
- 5. ไม่ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็ก
- 6. ไม่ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการเลี้ยงดูโดยมิชอบ
- 2) หน้าที่ของรัฐ ที่ต้องปฏิบัติต่อเด็ก ดังนี้
- 1. คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ ไม่ว่าเด็กจะมีผู้ปกครองหรือ ไม่มีผู้ปกครองก็ตาม
- 2. ดูแลและตรวจสอบสถานรับเลี้ยงเด็กต่างๆ เช่น สถานสงเคราะห์เด็ก สถาน คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน สถานพินิจที่ตั้งอยู่ในเขตอำนาจ เป็นต้น กฎหมายไทยกำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการสงเคราะห์หรือคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก ในกรณีต่อไปนี้
- เด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์
- เด็กเรรอน หรือเด็กกำพรา
- เด็กถูกทอดทิ้ง หรือพลัดหลง
- เด็กที่ไดรับการเลี้ยงดูโดย มิชอบ เชน ถูกทารุณกรรม
- เด็กที่ผูปกครองไมสามารถ อุปการะเลี้ยงดูได
- เด็กที่ผูปกครองมีพฤติกรรม หรืออาชีพไมเหมาะสม
- เด็กพิการ
- เด็กที่อยูในสภาพ ยากลำบาก
- เด็กที่อยูในสภาพที่จำเปนจะตองไดรับ การสงเคราะหตามกฎของกระทรวง
- นอกจากนี้พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ยังได้กำหนดมาตรการส่งเสริม ความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาไว้ ดังนี้
- 1.โรงเรียนและสถานศึกษาจะต้องจัด ให้มีระบบงานและกิจกรรมแนะแนวให้คำ ปรึกษาและฝกอบรมแก่นักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง เพื่อส่งเสริมความประพฤติที่ เหมาะสม ความรับผิดชอบต่อสังคม และความ ปลอดภัยแก่นักเรียน นักศึกษา
- 2. นักเรียน นักศึกษา จะต้องประพฤติ ตนตามระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา หาก ฝาฝน พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ สามารถนำตัวไปมอบให้ผู้บริหารโรงเรียน หรือสถานศึกษา เพื่อสอบถามและอบรม สั่งสอน หรือลงโทษตามระเบียบต่อไป
- 2.2 กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาในปจจุบัน ได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีสาระสำคัญที่นักเรียนควรรู้และทำความเข้าใจ ดังนี้
- 1) จุดมุงหมายและหลักการ เนื่องจากมนุษย์เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่จะมีส่วนพัฒนา สังคมและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ดังนั้น การศึกษาจึงมีส่วนสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้คนในชาติ มีความรู้ เพื่อนำไปพัฒนาประเทศต่อไป รัฐจึงต้องลงทุนทางด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาเด็กและ เยาวชนของชาติขึ้นมาทดแทนผู้ใหญ่ที่จะอ่อนกำลังลงในอนาคต ประเทศชาติจึงต้องทุ่มเทงบ ประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาการ ศึกษา สำหรับการจัดการศึกษาของทุก ประเทศรวมทั้งประเทศไทยมุ่งเน้นให้คนใน สังคมมีความสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปญญา มีความรู้คู่คุณธรรม และดำรงไว้ ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีของชาติ
- 2) หน้าที่ของรัฐในการจัดการศึกษา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้รัฐจะต้องดำเนินการทางด้าน การศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชน ดังนี้
- 1. รัฐต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ป โดยให้เด็กและเยาวชน ในชาติมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการเข้ารับการศึกษาอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่เก็บ ค่าใช้จ่าย
- 2. รัฐต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ สำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทาง ร่างกาย จิตใจ สติปญญา อารมณ์ สังคมต้องจัดให้มีการสื่อสารและการเรียนรู้ สำหรับผู้ที่มี ร่างกายพิการ ทุพพลภาพ บุคคลที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ บุคคลไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส
- 3) สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง มีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคล ซึ่งอยู่ใน ความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9 ป โดยให้เด็กที่มีอายุย่างเข้าปที่เจ็ดเข้าเรียนใน สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจนอายุสิบหก เว้นแต่สอบได้ชั้นปที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ ตลอดจน ให้ได้รับการศึกษานอกเหนือจากการศึกษาภาคบังคับตามความพร้อมของครอบครัว
- 4) รูปแบบการจัดการศึกษา การ จัดการศึกษามี 3 รูปแบบ คือ การศึกษาใน ระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษา ตามอัธยาศัย มีรายละเอียด ดังนี้
- 4.1) การศึกษาในระบบ เป็นการ ศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาการศึกษา การวัดและ ประเมินผลอันเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการ ศึกษาที่แน่นอน ได้แก่ การเรียนการสอนใน โรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน
- 4.2) การศึกษานอกระบบ เป็นการศึกษาที่มีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไข สำคัญของการสำเร็จการศึกษา โดยเนื้อหาและหลักสูตรจะต้องมีความเหมาะสมกับสภาพปญหา และความต้องการของบุคคลแต่ละกลุ่ม เช่น การศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น
- 4.3) การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่เปดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสนใจ ศักยภาพ ความพร้อมและโอกาส โดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์ สังคม สภาพสิ่งแวดล้อม สื่อ หรือแหล่งเรียนรู้ เช่น การฝกอบรมวิชาชีพของสถาบันแรงงานต่างๆ การอบรมวิชาชีพในสถาบันพัฒนาฝมือแรงงาน การอบรมภาษาอังกฤษ คอมพิวเตอร์ตาม สถาบันต่างๆ เป็นต้น การจัดการศึกษารูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้น อาจดำเนินการเป็น เอกเทศหรือผสมผสานกัน ทั้งนี้ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถและสามารถพัฒนา ตนเองได้
- 5) แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการศึกษาทุกรูปแบบจะเน้นให้ผู้เรียนมี ความรู้ ความสามารถ และพัฒนาตนเองได้ โดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญที่สุด ด้วยเหตุนี้ กระบวนการจัดการเรียนรู้จึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติและ เต็มศักยภาพ
- 2.3 กฎหมายคุมครองผูบริโภค กฎหมายคุมครองผูบริโภคเปนกฎหมายที่เกี่ยวกับการดํารงชีวิตของคนในสังคม โดย ทัวไปจะเกี่ยวของกับการบริโภคสินคาและการใชบริการ เชน มนุษยตองบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม ตองใชบริการรถประจําทาง รถไฟฟา รวมทั้งบริการอื่นๆ เพื่ออํานวยความสะดวก เชน การใชบัตรเครดิต โทรศัพทมือถือ เปนตน ดังนั้นการบริโภคหรือการใชบริการตางๆ จะ ตองไดมาตรฐานและมีคุณภาพครบถวนตาม ที่ผูผลิตไดโฆษณาแนะนําไว ดวยเหตุนี้ รัฐใน ฐานะผูคุมครองดูแลประชาชน หากพบวา ประชาชน ไดรับความเดือดรอนจากการ บริโภคสินคาและบริการจะตองรีบเขาไปแกไข เยียวยาและชดเชยความเสียหายใหกับ ประชาชน หนวยงานที่คุมครองผูบริโภค มีอยู หลากหลายและกระจายตามประเภทของ การบริโภคสินคาและบริการ เชน
- 1. กรณีที่ประชาชนไดรับความเดือดรอนเกี่ยวกับอาหาร ยา หรือเครื่องสําอาง เปนหนาที่ ของสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยากระทรวงสาธารณสุขที่ตองเขามาดูแล
- 2. กรณีที่ประชาชนไดรับความเดือดรอนเกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม ก็เปนหนาที่ของสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ตองเขามาดูแล
- 3. กรณีที่ประชาชนไดรับความเดือดรอนเกี่ยวกับเจาของกิจการธุรกิจจัดสรรที่ดิน อาคารชุด ก็เปนหนาที่ของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยที่ตองเขามาดูแล
- 4. กรณีที่ประชาชนไดรับความเดือดรอนเกี่ยวกับคุณภาพหรือราคาสินคาอุปโภคบริโภค ก็เปนหนาที่ของกรมการคาภายใน กระทรวงพาณิชย
- 5. กรณีที่ประชาชนไดรับความเดือดรอนเกี่ยวกับการประกันภัยหรือประกันชีวิตก็เปน หนาที่ของกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย ที่ตองเขามาดูแล
- หนวยงานที่ไดกลาวมาขางตน ถือเปนตัวอยางของหนวยงานที่ทําหนาที่คุมครอง ผูบริโภคเฉพาะเรื่องตามที่กฎหมายกําหนดอํานาจหนาที่ในการดูแลความเดือดรอนของ ประชาชนไว
- สำหรับพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 จัดเป็นกฎหมายเฉพาะที่ไม่ซ้ำซ้อน หรือขัดกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่คุ้มครองผู้บริโภคในด้านต่างๆ ตามตัวอย่างข้างต้น
- เพราะหากเกิดกรณีจำเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบมิได้ดำเนินการแก้ไขหรือดำเนินการไม่ครบถ้วน ตามขั้นตอนของกฎหมาย
- ผู้เดือดร้อนสามารถร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภค สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้สั่งการแก้ไขแทนได้
- เพราะสำนักงานคณะกรรมการ คุ้มครองผู้บริโภคเป็นหน่วยงานคุ้มครองด้านการบริโภคสินค้าและบริการทั่วไป นอกเหนือจาก การทำงานของหน่วยงานอื่นๆ
- กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ได้บัญญัติสิทธิของผู้บริโภคไว้ 5 ประการคือ
- 1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้อง และเพียงพอเกี่ยวกับ สินค้าและบริการ เพื่อการพิจารณาเลือกซื้อสินค้าหรือรับบริการอย่างถูกต้องทำให้ไม่หลงผิดใน คุณภาพสินค้าหรือบริการ
- 2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าและบริการโดยปราศจากการชักจูงก่อนตัดสินใจ ซื้อสินค้า
- 3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการสินค้าที่มีคุณภาพและได้ มาตรฐานเหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือทรัพย์สิน ในกรณีที่ใช้ตาม คำแนะนำของผู้ผลิต
- 4. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย อันหมายถึง สิทธิจะได้รับการ คุ้มครองและชดใช้ค่าเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิผู้บริโภค
- 5. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม ในการทำสัญญาโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ นอกจากนี้ ผู้บริโภคจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริโภค โดยจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ในที่นี้จะขอกล่าวถึงหน้าที่ของผู้บริโภคที่ควรปฏิบัติ คือ
- 1. ผู้บริโภคต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควร ในการซื้อสินค้าหรือรับบริการ เช่น ตรวจสอบ ฉลากแสดงราคาและปริมาณ ไม่หลงเชื่อในคำโฆษณาคุณภาพสินค้า โดยพิจารณาให้รอบคอบ
- 2. การเข้าทำสัญญาผูกมัดกันตามกฎหมาย โดยการลงลายมือชื่อต้องตรวจสอบความ ชัดเจนของภาษาที่ใช้ตามสัญญาให้เข้าใจรัดกุม หรือควรปรึกษาผู้รู้ทางกฎหมายหากไม่เข้าใจ
- 3. ข้อตกลงต่างๆ ที่ต้องการให้มีผลบังคับใช้ควรทำเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อ ผู้ประกอบธุรกิจด้วย
- 4. ผู้บริโภคมีหน้าที่เก็บหลักฐานไว้ เพื่อประโยชน์ในการเรียกร้องค่าเสียหาย
- 5. เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ผู้บริโภคควรดำเนินการร้องเรียนต่อหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องหรือต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
- 2.4 กฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ให้ความหมายไว้ว่า ลิขสิทธิ์ หมายถึง สิทธิแต่ ผู้เดียวของผู้สร้างสรรค์ผลงานที่จะทำการใดๆ กับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น เช่น การทำซ้ำหรือ ดัดแปลงนำออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน นำออกให้ผู้อื่นเช่าต้นฉบับรวมทั้งอนุญาตให้ผู้อื่นใช้ ลิขสิทธิ์ของตนได้
- ตัวอย่าง นายสมชายซื้อหนังสือจากร้านขายหนังสือมา 1 เล่ม นายสมชายย่อมมีสิทธิที่ จะให้ผู้อื่นยืมอ่านหรือขายต่อให้บุคคลอื่น หรือฉีกทำลายบางส่วน บางตอน หรือทั้งเล่มได้เพราะ มีกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในหนังสือเล่มนั้น
- แต่หากนายสมชายนำหนังสือเล่มนั้นไปพิมพ์ขึ้นอีก แล้วนำมาจำหน่ายหรือนำข้อความ บางช่วงบางตอนไปพิมพ์เป็นผลงานของตนเอง ย่อมได้ชื่อว่าทำซ้ำผลงานอันมีลิขสิทธิ์โดยมิได้ รับอนุญาต ถือว่ากระทำการอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
- ลิขสิทธิ์ จัดเป็นทรัพย์สินทางปญญา อย่างหนึ่งในหลายๆ อย่าง โดยผลงานลิขสิทธิ์ ที่เกิดจากการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์จะได้ รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติเครื่องหมาย พ.ศ. 2534 พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 และพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. 2545 ซึ่งกฎหมายแต่ละฉบับเป็นการคุ้มครอง ผลงานที่มนุษย์ใช้ความสามารถและสติปญญา สร้างสรรค์ขึ้น
- ในที่นี้จะกล่าวถึงพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ที่ได้กำหนดขอบข่ายงาน ที่มีลิขสิทธิ์ไว้เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในเบื้องต้น ดังนี้
- 1) ต้องเป็นงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรคของผู้สร้างสรรค โดยเกิดขึ้นจากความคิด ริเริ่มของตนเอง มิได้ทำซ้ำ หรือดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น เช่น นายแดง คิดเค้าโครง เรื่องของหนังสือและแต่งหนังสือเล่มนั้นขึ้น โดยมิได้ลอกเลียนผลงานการประพันธ์ของบุคคลใด ย่อมมีลิขสิทธิ์ในหนังสือที่แต่งขึ้นนั้น
- 2) ต้องเป็นผลงานที่เป็นรูปรางสามารถจับต้องสัมผัสได้ หรือมองเห็นได้ มิใช่เป็นเพียง ความคิดแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ
- 3) ต้องเป็นงานประเภทตางๆ ที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 รวม 9 ประเภท ดังนี้
- 1. งานวรรณกรรม (Literary Work) ได้แก่ งานแต่งหนังสือ ทำภาพ ประกอบ เป็นต้น
- 2. งานนาฏกรรม (Pramatic Work) ได้แก่ การคิดท่าเต้น ท่ารำ จินตลีลา ประกอบเพลง การแสดงประกอบเป็นเรื่องราว การแสดงละครใบ้ ปาฐกถา เทศนา สุนทรพจน์ เป็นต้น
- 3. งานดนตรี (Musical Work) ได้แก่ ผลงานการแต่งเพลง แต่งคำร้อง ทำนอง เรียบเรียงเสียงประสาน เป็นต้น
- 4. งานศิลปกรรม (Artistic Work) ได้แก่ ผลงานด้านศิลปะ การวาด การปน การให้สี แกะสลัก จิตรกรรม ภาพพิมพ์ ภาพถ่าย ภาพประกอบแผนที่ โครงสร้าง ภาพสามมิติ เป็นต้น
- 5. งานโสตทัศนศึกษา (Audio Visual Work) ได้แก่ ภาพแผ่นใส ระบบแสง สี เสียง ภาพประกอบเสียง เป็นต้น
- 6. งานภาพยนตร์ (Cinematographic Work) ได้แก่ ผลงานการสร้างภาพยนตร์ เป็นต้น
- 7. งานส่งบันทึกเสียง (Sound Recording Work) ได้แก่ เทปบันทึกเสียงรายการ แสดงสด เป็นต้น
- 8. งานแพร่เสียง แพร่ภาพ (Sound and Video Broadcasting Works) ได้แก่ การกระจายเสียงในวิทยุ หรือโทรทัศน์ รายการที่ออกอากาศ หรือกระจายเสียง ระบบสายเคเบิล การส่งสัญญาณผ่านระบบดาวเทียม เป็นต้น
- 9. งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์หรือแผนกศิลปะ (any other work in the Literary Scientific or artistic domain)
- 4) สิทธิของผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ งานอันมีลิขสิทธิ์ทั้ง 9 ประเภทที่ได้กล่าวมาข้างต้น พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ได้ให้ความคุ้มครองเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์ ผลงาน มีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ ต่อไปนี้
- 1. ทำซ้ำหรือดัดแปลง หมายถึง คัดลอกไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดๆ เลียนแบบทำสำเนา ทำแม่พิมพ์บันทึกเสียง บันทึกภาพหรือทั้งภาพและเสียงจากต้นฉบับ สำเนา หรือจากการโฆษณา ในส่วนอันเป็นสาระสำคัญไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน โดยไม่มีลักษณะเป็นการจัดทำงานขึ้นใหม่
- 2. เผยแพร่ต่อสาธารณชน หมายถึง ทำให้ปรากฏต่อสาธารณชน โดยการแสดง บรรยาย บรรเลง ทำให้ปรากฏเสียงหรือภาพ การสร้าง จำหน่าย หรือโดยวิธีอื่นใดกับงานที่จัดทำขึ้น
- 3. ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์และ สิ่งบันทึกเสียง
- 4. อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิในงานที่ทำซ้ำ ดัดแปลงงานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
- 5) อายุความแหงการคุ้มครองลิขสิทธิ์ คือ ระยะเวลาที่เจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์จะห้าม หรือฟองร้องดำเนินคดี เพื่อเอาความผิดแก่บุคคลใด ที่ลอกเลียน ทำซ้ำ หรือทำการใดๆ ที่ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ให้ต้องได้รับโทษตามกฎหมายลิขสิทธิ์ที่กำหนดไว้ แต่มิได้คุ้มครองงานอัน มีลิขสิทธิ์ตลอดไป การคุ้มครองงานอันมีลิขสิทธิ์ ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งมีราย ละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ตัวอย่างเช่น นายเดชกับนายดวง ร่วมกันแต่งหนังสือ 1 เล่ม นายเดชและนายดวง ย่อมมีสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ของหนังสือเล่มนั้นร่วมกัน ตลอดอายุของบุคคลทั้งสองเมื่อนายเดช และ นายดวงตายลง ลิขสิทธิ์การแต่งหนังสือเล่มนั้น ก็จะตกแก่ทายาทของนายเดชและนายดวงที่จะมี สิทธิในลิขสิทธิ์นั้นต่อไปอีก 50 ป นับตั้งแต่เจ้าของลิขสิทธิ์ถึงแก่ความตาย หลังจาก 50 ป ดังที่ ได้กล่าวมาแล้ว ลิขสิทธิ์นั้นจึงจะตกเป็นของสาธารณะ โดยที่ใครจะนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องได้รับ อนุญาตจากใครทั้งสิ้น เป็นต้น
3. ประโยชนของการปฏิบัติตนตามกฎหมาย
- การปฏิบัติตนตามกฎหมาย ย่อมจะได้ชื่อว่า เป็นพลเมืองดีที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม อันจะทำให้ประเทศเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย การปฏิบัติตนตามกฎหมายเป็นหน้าที่สำคัญ ประการหนึ่งของปวงชนชาวไทย ตามที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยใน ทุกฉบับรวมทั้งฉบับปจจุบัน นอกจากนี้ การปฏิบัติตนตามกฎหมาย ยังมีส่วนในการดูแลตนเอง ด้วยประโยชน์ของการปฏิบัติงานตามกฎหมาย เช่น
- 1. ช่วยให้รู้จักระวังตนไม่ให้พลาดพลั้งกระทำความผิดหรือปฏิบัติฝาฝนข้อห้ามที่ กฎหมายกำหนดไว้ เพราะเมื่อบุคคลกระทำการใดๆ ที่ฝาฝนข้อบัญญัติของกฎหมายแล้วจะ อ้างว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้ตนเองพ้นผิดไม่ได้
- 2. ช่วยปองกันไม่ให้ถูกบุคคลอื่นเอารัดเอาเปรียบ
- 3. ช่วยให้รัฐบริหารบ้านเมืองไป ได้อย่างราบรื่น เพราะทุกคนปฏิบัติตนตาม กฎหมาย
- 4. ช่วยให้เกิดประโยชน์ในการ ประกอบอาชีพ เพราะกฎหมายมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- 5. ช่วยให้ทุกคนรักษาสิทธิของ ตนเองตามที่กฎหมายไว้เพื่อมิให้ถูกบุคคลอื่น กระทำการอันเป็นการละเมิดก่อความเสียหาย หากได้รับความเสียหาย กฎหมายก็จะช่วย เยี่ยวยาความเสียหายนั้น กล่าวโดยสรุปกฎหมายคุ้มครอง ของบุคคลเป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อใช้เป็น มาตรฐานในการให้ความคุ้มครองบุคคลใน สังคม ดังนั้นหากประชาชนปฏิบัติตาม กฎหมายอย่างเคร่งครัดก็จะทำให้สังคมส่วน รวมและประเทศเกิดความเป็นระเบียบ เรียบร้อยและเจริญก้าวหน้าต่อไป
ขอบคุณค่าาาาาา ถูกหมดเลย😉😉😉😉😉
ตอบลบผิดหมดเลย
ตอบลบถูกหมดเด้อ
ลบถืกเบิด มึงถ่าเบิ่งงงงงงงง ขั่นถืกหละ ซื้อขนมสู่กุกิน
ลบมันดีมากเลยค่ะ สวดยอดจิงๆๆๆๆๆๆๆๆ หามาเพิ่มเยอะๆเลย555😉😉😉😉
ตอบลบ5
ตอบลบ5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
5
111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111111
ลบ